ดวงจันทร์” อยู่ในระบบสุริยจักรวาล
จัดเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตนเอง
แต่ที่มีแสงส่องสว่างอย่างที่เราเห็นกันนั้น
เป็นเพราะได้รับแสงสะท้อนมาจากดวงอาทิตย์
จึงทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์รูปลักษณ์ต่างๆเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบ้าง
รูปแบบพระจันทร์เสี้ยวบ้าง พระจันทร์เต็มดวงบ้าง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหมุนของโลกกับดวงจันทร์ ซึ่งทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างก็หมุนรอบซึ่งกันและกัน
ในขณะเดียวกันทั้งโลกและดวงจันทร์หมุนรอบดวงอาทิตย์
ดังนั้นหากดวงจันทร์หันด้านที่รับแสงจากดวงอาทิตย์เข้าหาโลก
เราก็จะเห็นดวงจันทร์มาก ในทางกลับกันถ้าดวงจันทร์ด้านที่ได้รับแสงดวงอาทิตย์น้อย
เราก็จะพลอยได้เห็นดวงจันทร์ตามไปด้วย
ดวงจันทร์เป็นบริวารดวงเดียวของโลก
มีขนาดเล็กกว่าโลก คือ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,476 กิโลเมตร
โลกของเราใหญ่กว่าดวงจันทร์ประมาณ 4 เท่า
ดวงจันทร์มีความหนาแน่น เฉลี่ย 3.34
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
ดวงจันทร์เป็นวัตถุท้องฟ้าที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด
ซึ่งจากการขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ พบว่า บนดวงจันทร์ไม่มีน้ำ
ไม่มีบรรยากาศและไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เชื่อว่าดวงจันทร์มีอายุประมาณ 4,600 ล้านปีใกล้เคียงกับโลก
สำหรับกำเนิดของดวงจันทร์ยังมีอยู่หลากหลายข้อสมมติฐาน
บ้างก็ว่าโลกและดวงจันทร์เกิดพร้อมๆ กันจากกลุ่มก้อนก๊าซมหึมาของเนบิวลาต้นกำเนิดระบบสุริยะ
บ้างก็ว่าดวงจันทร์แตกตัวออกจากโลก
ขณะที่โลกเริ่มก่อรูปร่างขึ้นทำให้มีการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว
มวลสารบางส่วนจึงหลุดออกมาเป็นดวงจันทร์
ดวงจันทร์เคลื่อนรอบโลก
รอบละ 1 เดือน โดยการที่โลกหมุนรอบตัวเองไปทางทิศตะวันออก
ทำให้คนบนโลกเห็นดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก
เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักรราศี ในคืนเดียวกันที่เวลาต่างกัน
เราจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนที่ปรากฏจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
ดวงจันทร์เปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนรูปร่างเร็วมาก
กล่าวคือ ในช่วงข้างขึ้น รูปร่างจะปรากฏโตขึ้นจากเป็นเสี้ยวเล็กที่สุดเมื่อวันขึ้น
1 ค่ำ ถึงโตที่สุดเป็นรูปวงกลมหรือจันทร์เพ็ญเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะในแต่ละวัน ดวงจันทร์ด้านสว่างที่หันมาทางโลกมีขนาดไม่เท่ากัน
สัดส่วนของด้านสว่างที่สะท้อนแสงมาทางโลกมีขนาดโตขึ้นสำหรับวันข้างขึ้น
และมีสัดส่วนน้อยลงสำหรับวันข้างแรม
การเปลี่ยนตำแหน่งเทียบกับดาวฤกษ์แตกต่างไปจากการเปลี่ยนตำแหน่งเทียบกับขอบฟ้า
ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้น-ตกของวัตถุท้องฟ้าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ขึ้น-ตก เพราะโลกหมุนรอบตัวเองทั้งสิ้น
การเห็นรูปลักษณะดวงจันทร์จากประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร
เช่น ประเทศไทย ในวันข้างแรมมาก ๆ ขณะดวงจันทร์เป็นเสี้ยว จะเห็นลักษณะรูปร่างของปลายเขาควายชี้ขึ้นจากขอบฟ้า
หรือในวันข้างขึ้นน้อย ๆ
ขณะดวงจันทร์อยู่ใกล้ขอบฟ้าด้านตะวันตกจะเห็นรูปร่างของดวงจันทร์เป็นรูปเขาควายหงายเช่นเดียวกัน
แต่ถ้าเราไปดูดวงจันทร์หรือถามเพื่อนที่อยู่ในประเทศใกล้ขั้วโลกว่าเห็นดวงจันทร์ข้างแรมแก่
ๆ หรือข้างขึ้นน้อย ๆ มีรูปร่างลักษณะเช่นใด
เราจะพบว่าดวงจันทร์เสี้ยวปรากฏเป็นแบบเขาควายตะแคงคือปลายเขาหนึ่งชี้ลงไป
ที่ขอบฟ้าส่วนอีกเขาหนึ่งมีปลายเขาชี้ขึ้นฟ้า
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะขอบฟ้าของคนที่อยู่ในประเทศไทยแตกต่างไปจากขอบฟ้าของคนที่อยู่ใกล้ขั้วโลก
ณ
บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลก ด้านนูนของดวงจันทร์ชี้ลงไปที่ขอบฟ้า
ทำให้ปลายแหลมทั้ง 2 ข้างของดวงจันทร์ชี้ขึ้นจากขอบฟ้า
หรือที่เรียกว่า "เขาควายหงาย" นั่นเอง
แต่เมื่อดูจากประเทศใกล้ขั้วโลกเหนือ
ซึ่งมีขอบฟ้าอยู่ในแนวเกือบตั้งฉากกับขอบฟ้าของผู้ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร จะพบว่า
"เขาควายตะแคง" ปลายแหลมของดวงจันทร์ข้างหนึ่งชี้ลงไปทางขอบฟ้า
ส่วนปลายแหลมอีกข้างหนึ่งชี้ขึ้นสูงจากขอบฟ้า
นี่คือรูปร่างลักษณะที่เห็นแตกต่างกัน
เมื่อดูดวงจันทร์จากประเทศที่มีละติจูดต่างกัน
เมื่อดูดวงจันทร์จากประเทศที่มีละติจูดต่างกันมาก ๆ รูปจันทร์เสี้ยวที่อยู่ในภาพวาดของฝรั่งจึงมักจะเป็นรูปจันทร์เสี้ยวตะแคงเสมอ
จะเห็นว่า
ดวงจันทร์มีการเปลี่ยนแปลงที่เราสามารถเห็นได้ชัดมากที่สุดทางด้านกายภาพ
เราจะเห็นว่าทุกเดือนรูปร่างของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไปตามระยะต่าง ๆ หรือ phases ซึ่งเกิดจากการที่เรามองเห็นด้านสว่างของดวงจันทร์
ซึ่งเป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ในมุมที่แตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับว่าดวงจันทร์อยู่ตรงตำแหน่งใดในความสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์และโลกในเวลา 29.5 วัน หรือประมาณหนึ่งเดือน การโคจรของดวงจันทร์รอบโลกจะแบ่งเป็น 8 ระยะดังนี้คือ
1.
New Moon หมายถึง
ระยะที่ดวงจันทร์อยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ในทิศทางเดียวกัน
โดยด้านที่รับแสงอาทิตย์หันไปจากโลก ดวงจันทร์จะดูมืดสนิททั้งดวง
ดังนั้นเราจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ยกเว้นเวลาที่เกิดสุริยุปราคา
ในระยะพระจันทร์ใหม่นี้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะขึ้นและตกประมาณเวลาเดียวกัน
2.
Waxing Crescent Moon ขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเราจะเห็นด้านที่รับแสงอาทิตย์มากขึ้นตามลำดับ
เป็นพระจันทร์ข้างขึ้นหรือ Waxing Moon ซึ่งตอนแรกจะเป็นเสี้ยวเล็ก
ๆ และค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้นตามลำดับ ระยะนี้เรียกว่า พระจันทร์เสี้ยว หรือ Crescent
Moon
3.
Quarter Moon ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจาก New
Moon ดวงจันทร์ จะหมุนรอบโลกไปประมาณ 1 ใน 4
ของวงโคจร เราจะเห็นครึ่งหนึ่งของด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์หรือ 1
ส่วน 4 ของดวงจันทร์ เรียกว่า ระยะเสี้ยวแรก
4. Waxing Gibbous Moon ระหว่างสัปดาห์ต่อมาเราจะเห็นดวงจันทร์ด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้นทุกที
ดวงจันทร์จะมีลักษณะที่เรียกว่า gibbous คือ นูนทั้ง 2 ด้าน คล้ายหนอกของวัว
5.
Full Moon 2 สัปดาห์หลังจาก ระยะพระจันทร์ใหม่
ดวงจันทร์จะเดินทางรอบโลกได้ครึ่งทางและด้านที่ได้รับแสงอาทิตย์จะทับกันสนิทกับด้านที่หันมายังโลก
ทำให้เราเห็นเป็นดวงกลมคือ พระจันทร์เต็มดวง ในระยะนี้พระจันทร์จะขึ้นตอนที่พระอาทิตย์ตก
และจะตกตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น
ถ้าดวงจันทร์อยู่ในระนาบเดียวกันพอดีระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์จะเกิดเป็นจันทรุปราคา
6.
Waning Gibbous Moon จากระยะนี้ไปจนกว่าจะเต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง
ดวงจันทร์ด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ช่วง 1 สัปดาห์หลังจากพระจันทร์เต็มดวงนี้จะเป็นระยะพระจันทร์ข้างแรม
7.
Last Quarter Moon ๓ สัปดาห์ หลังจากระยะพระจันทร์ใหม่
เราจะเห็นครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์ด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง
เรียกว่า ระยะเสี้ยวสุดท้าย
8.
Waning Crescent Moon ระหว่างสัปดาห์ที่ 4 ขนาดของดวงจันทร์จะลดลงจนมองเห็นเป็นรูปเคียวบาง
ๆ ขนาดของดวงจันทร์ยังขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับโลกด้วย
ในทางดาราศาสตร์และวงการวิทยาศาสตร์
คำที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เข้าใกล้โลกมากที่สุด คือ lunar
perigee (perigee หมายถึงจุดในวงโคจรของวัตถุในอวกาศที่อยู่ใกล้โลก)
ซึ่งดวงจันทร์จะดูสว่างมากและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
สำหรับคนทั่วไปจะรู้จักปรากฏการณ์นี้ในชื่อ Supermoon ซึ่งเป็นคำที่นักโหราศาสตร์ชื่อ
ริชาร์ด โนลล์ (Richard Nolle) เป็นผู้บัญญัติ
โดยให้คำจำกัดความว่าเป็น “พระจันทร์ใหม่หรือพระจันทร์เต็มดวงที่เกิดขึ้นโดยดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด
(ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์) ในวงโคจร (perigee) สรุปคือ โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกัน
โดยที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด” ในปีหนึ่ง ๆ จะเกิด Supermoon ประมาณ 4 ถึง 6 ครั้ง
โดยอยู่ห่างจากโลกเพียง 300,000 กว่า กิโลเมตรเท่านั้น
ที่มา http://www.scimath.org/lesson-physics/item/7294-moon?fbclid=IwAR3LD7Bv_DUd7wvDIYenlcv1rmIrANf_he2icDL9fww7EBHi1jim5VaVmsg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น